|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
สมาคมการขายตรงไทย ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลวิจัย “เจาะลึกขายตรง จับตาแนวโน้มการเติบโต” ชี้ประเด็นน่าสนใจธุรกิจขายตรงมีมูลค่าตลาดเกือบ 32,300 ล้านบาท เติบโตกว่า 16% จากมูลค่าตลาดรวมเมื่อปี 2545 พร้อมมีผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจขายตรงรวมกว่า 6.5 ล้านคน พฤติกรรมผู้จำหน่ายอิสระยังมีแนวโน้มเป็นสมาชิกของบริษัทขายตรงบริษัทเดียวถึง 89.7% ย้ำเรื่องคุณภาพสินค้าขายตรงยังเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคใช้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า
นายปรีชา ประกอบกิจ นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวว่า สมาคมการขายตรงไทยได้ร่วมมือกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทำการวิจัยเรื่อง “เจาะลึกขายตรง จับตาแนวโน้มการเติบโต” เพื่อสำรวจข้อมูลที่สำคัญของธุรกิจขายตรงในด้านการตลาด ทัศนคติ พฤติกรรม ปัญหาและอุปสรรคในการบริโภค การจำหน่าย รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่จะเป็นส่วนสำคัญของแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจขายตรง
โดยครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศถึง 7,327 ตัวอย่าง ประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารของบริษัทขายตรง ประชาชนทั่วไป สมาชิกหรือผู้บริโภค และผู้จำหน่ายอิสระ โดยผลวิจัยนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มและทิศทางที่ธุรกิจขายตรงไทยจะเติบโตต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบริษัทขายตรงในการวางกลยุทธ์การตลาด รวมทั้งภาครัฐที่จะมีฐานข้อมูลธุรกิจและวางแผนรองรับที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ ทั้งยังเป็นส่วนที่สามารถนำมาคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้อีกด้วย
นางสุชาดา ธีรวชิรกุล อุปนายกฝ่ายการศึกษา สมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่า ผลวิจัย เจาะลึกขายตรง จับตาแนวโน้มการเติบโต มีสรุปผลการสำรวจทั้งสิ้น 4 โครงการตามกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ ได้แก่ โครงการสำรวจผู้บริหารบริษัทขายตรง จากกลุ่มตัวอย่าง 167 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นบริษัทที่ยังดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงอยู่ในตลาด พบว่า ยอดขายในปี 2547 มีมูลค่ารวม 32,300 ล้านบาท เติบโตจากปี 2545 ถึง 16% ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่ปี 2540 ที่สมาคมได้ทำการสำรวจข้อมูลธุรกิจขายตรงไทยขึ้นมา รวมทั้งจำนวนผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจขายตรงที่มีเพิ่มขึ้นถึง 6.5 ล้านคน
สำหรับแนวโน้มตลาดขายตรงยังคงมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เสริมความงามและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดยคิดเป็น 70.35% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่จำหน่ายในตลาด
นางสุชาดากล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการสำรวจประชาชนทั่วไป จากกลุ่มตัวอย่าง 2,724 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ใช้สินค้าขายตรงอยู่ในขณะนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า ประชาชน 82.8% รู้จักธุรกิจขายตรง ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจขายตรงได้เข้ามามีบทบาทและเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนจำนวนมากขึ้น โดยมีทัศนคติทั้งข้อดีและข้อด้อยเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคมหรือผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจขายตรงต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจและให้ข้อมูลที่ถูกต้องร่วมกันต่อไป ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ในระบบขายตรงยังคงเป็นเรื่องของคุณภาพสินค้าถึง 88.3% รองลงมาคือเรื่องของราคาและการรับประกันสินค้าตามลำดับ
อุปนายกฝ่ายการศึกษากล่าวต่อไปว่า โครงการสำรวจสมาชิกหรือผู้บริโภคสินค้าขายตรง จากกลุ่มตัวอย่าง 2,284 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้ที่ซื้อและใช้สินค้าขายตรง พบว่า อัตราการซื้อสินค้าจากบริษัทขายตรงเดิมและอัตราการแนะนำสินค้าขายตรงให้กับผู้อื่นได้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2547 เป็นจำนวนถึง 83.1% และ 71.5% ตามลำดับ และเหตุผลในการเลือกซื้อสินค้าขายตรงเป็นเหตุผลเดียวกับที่ประชาชนทั่วไปเลือกซื้อเช่นกัน โดยกลุ่มนี้ 60.9% จะเป็นผู้ที่ใช้สินค้าและไม่มีความสนใจสมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระ แต่มีทัศนคติด้านความพึงพอใจและค่อนข้างพอใจ (Top 2 Box Satisfaction) ต่อผู้จำหน่ายอิสระถึง 79.7% และมีความพึงพอใจและค่อนข้างพอใจ (Top 2 Box Satisfaction) ต่อสินค้าและบริษัทขายตรงถึง 80% ซึ่งเป็นผลสรุปที่มีแนวโน้มที่ดีและแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ซื้อและใช้สินค้าขายตรงมีความพอใจโดยรวมค่อนข้างสูงมาก
“โครงการสำรวจผู้จำหน่ายอิสระ จากกลุ่มตัวอย่าง 2,152 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอิสระที่ยังมียอดการซื้อขายอยู่ (Active) พบว่า เหตุผลที่ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจขายตรงเป็นเรื่องของอิสรภาพในการทำงานถึง 42% และเรื่องรายได้เป็นอันดับ 2 คือ 32.4% โดยพฤติกรรมในการเลือกเป็นสมาชิกของบริษัทขายตรงเพียง 1 บริษัทมีถึง 89.7% ซึ่งเป็นแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกปี และยังพบว่ามีทัศนคติเชิงบวกในเรื่องการจำหน่ายสินค้าได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมถึง 62.3% โดยรวมมีความพึงพอใจและค่อนข้างพอใจ (Top 2 Box Satisfaction)) ต่ออาชีพผู้จำหน่ายอิสระรวม 92.4% และที่สำคัญ ผู้จำหน่ายอิสระรับรู้ต่อข้อกฎหมายและพระราชบัญญัติขายตรงฯ เป็นจำนวน 73.6% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงและเป็นเรื่องที่สมาคมการขายตรงไทยได้ส่งเสริมให้ผู้จำหน่ายอิสระในสังกัดบริษัทสมาชิกมีความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง” นางสุชาดากล่าว
|
|
 |
|
|